วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 8 เขียนบทความจากเสียงบันทึกเรื่องแก้ไฟริษยา

ริษยาไปเพื่อ...
.....ความอิจฉาริษยามีอยู่ในตัวของคนทุกคน เพราะมันเป็นกิเลสพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่แบ่งแยกว่าเพศใด ฐานะใด ช่วงอายุไหน ก็ล้วนแต่มีความอิจฉาริษยาเกิดขึ้นในตัวเองทั้งนั้น แต่ความริษยานั้นจะแสดงออกมาหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคลว่าจะควบคุมมันได้หรือไม่
.....ความอิจฉาอาจเกิดได้จากหลายๆอย่าง เช่น อิจฉาคนที่เขามีของดีกว่า แพงกว่า รวยกว่า แต่งตัวสวยกว่า เรียนเก่งกว่า และในอีกหลายๆเรื่อง จนเกิดการนินทากันขึ้น เมื่อนินทากันมากๆเข้า บ้างก็จะพูดใส่ร้ายป้ายสีกัน พูดเพื่อให้คนอื่นๆเกิดความอิจฉาเหมือนๆกับตนเอง และอาจมีในบางกรณีที่มีการกลั่นแกล้งคิดหาทุกวิถีทางที่จะทำให้คนอีกคนที่ตนอิจฉาอยู่นั้นไม่มีทางได้ดีไปกว่าตนเอง ตัวอย่างเช่นนิทานเรื่องนี้ คือ มีพระมหากษัตริย์อยู่เมืองหนึ่งมีโอรสอยู่สองพระองค์ โอรสองค์น้องเป็นคนที่ริษยามาก พระมหากษัตริย์จะตั้งโอรสองค์พี่เป็นรัชทายาทก็กลัวโอรสองค์น้องริษยา แต่จะตั้งโอรสองค์น้องเป็นรัชทายาทก็จะผิดธรรมเนียมประเพณี พระองค์จึงอยากทดสอบความริษยาในตัวของโอรสองค์น้องว่ามีเยอะไหม จึงเรียกโอรสองค์เล็กมาถามว่า เจ้าอยากได้อะไรเจ้าก็จะได้ แต่พี่ของเจ้าจะได้มากกว่าเจ้าเป็นสองเท่า โอรสองค์เล็กบอกว่าขอไปคิดก่อน คิดทั้งคืนในที่สุดก็คิดได้ จึงบอกเสด็จพ่อว่า ขอให้เสด็จพ่อควักลูกตาของหม่อมฉันออกสักข้างหนึ่ง โดยวิธีนี้องค์พี่จะถูกควักออกสองข้าง จากนิทานเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าความริษยานั้นสามารถทำให้คนเราคิดทำอะไรก็ได้ เพื่อที่จะเล่นงานคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าตนเองนั้นจะต้องเจ็บด้วยก็ตาม
.....ความริษยาเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรที่จะแสดงออก หรือประพฤติปฏิบัติหรือแม้แต่จะคิด ในความเป็นจริงเราไม่สามารถควบคุมความริษยานั้นได้ แต่สามารถหาทางกำจัดความริษยานี้ได้โดยขึ้นอยู่กับวิธีของแต่ละบุคคลว่าจะทำอย่างไร เพื่อที่ไม่ให้ความริษยานั้นเข้าครอบงำจิตใจของตนเอง แต่ผู้มีปัญญาเห็นโทษของความริษยาที่ตนได้รับว่า ยิ่งปล่อยให้มีความริษยามาก ตนก็จะได้รับโทษของความริษยามาก ผู้มีปัญญาจึงแก้ไขป้องกันควบคุมมิให้ความริษยาเกิดง่าย และเกิดแรง แม้ว่าจะไม่สามารถดับเสียได้จริงตลอดไป
แหล่งอ้างอิง...http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3147

สัปดาห์ที่ 8 เขียนบทความจากเสียงบันทึกเรื่องหน้าที่ของพ่อแม่และลูกที่ดี

สอนดีก็ได้ดี
.......คนเราเกิดมามีพ่อมีแม่คอยดูแลอบรมสั่งสอน ให้การศึกษาที่ดี เป็นที่ปรึกษาและแนะนำแต่สิ่งที่ดีๆให้เราได้เรียนรู้ เราผู้เป็นลูกก็ควรที่จะให้ความเคารพ และกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ควรทำนิสัยก้าวร้าวแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควรต่อพ่อแม่ แต่พ่อแม่ก็ใช่ว่าจะทำตัวถูก ทำตัวให้ลูกน่านับถือเสมอไป ดังนั้นไม่ว่าผู้ที่เป็นพ่อแม่ หรือแม้แต่ลูก ต้องรู้และดูว่าตนเองทำหน้าที่ของตนดีแล้วหรือยัง
.......พ่อแม่ที่อยากให้ลูกกตัญญู เคารพนับถือ ก็ควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก บอกสอนให้ลูกรู้ว่าอะไรคือความชั่ว ความดี พร้อมทั้งมีคุณธรรม รวมทั้งควรบอกให้ลูกรู้ว่าอะไรคือหน้าที่ที่ลูกควรทำ พ่อและแม่ควรมอบการศึกษาให้กับลูกโดยเริ่มได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่บ้าน สอนแต่สิ่งที่ดี ทั้งทางด้านความคิด และการประพฤติตน คัดสรรแต่สิ่งดีๆมอบให้ลูกเสมอ แต่ก็ไม่ควรมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ให้แต่พอดีในทุกๆเรื่อง นอกจากนี้พ่อแม่ยังต้องหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับลูกของตน แต่การหาคู่ครองในที่นี้ไม่ใช่การคลุมถุงชน แต่เป็นหูเป็นตาให้กับลูก ดูว่าลูกคบกับใคร มีการศึกษาไหม ดูถึงความเหมาะสม แต่ไม่ใช่กีดกันให้ลูกได้มีอิสระในการคบหากัน และอีกอย่างที่พ่อแม่ควรทำ คือการมอบมรดกให้กับลูก มอบแต่พอสมควรอีกเช่นกัน มรดกในที่นี้หมายถึงการมอบชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ความดีงาม
.......เมื่อลูกได้รับสิ่งต่างๆที่พ่อกับแม่ได้มอบให้แล้ว ก็ควรระลึกนึกถึงบุญคุณของพ่อกับแม่อยู่เสมอ เลี้ยงตอบแทนบุญคุณท่าน ช่วยงานท่านทุกอย่าง รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่ท่านได้มอบให้ และควรประพฤติตนให้สมควรแก่การได้รับสมบัติ มรดกต่างๆที่ท่านให้ แต่เมื่อพ่อแม่ล่วงลับไปแล้ว ลูกที่ดีก็ควรทำบุญให้ท่านอย่าให้ขาด
.......พ่อกับแม่ได้ชื่อว่าเป็นพระพรหมของลูก เพราะท่านมีทั้งความเมตตา คือมีความรักให้กับลูก กรุณา คือเมื่อลูกมีปัญหาก็ช่วยลูกแก้ไขปัญหา มุทิตา คือยินดีกับลูกในทุกๆเรื่อง แต่ควรยินดีแต่พอดี เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เหลิงลืมตน และสุดท้ายคือ อุเบกขา เมื่อลูกทำผิด พ่อกับแม่ควรวางตัวเป็นกลาง เพราะฉะนั้นลูกก็ควรประพฤติตนเป็นบุตรที่ดีให้กับพ่อแม่ ให้ท่านได้ภูมิใจ และพ่อแม่ยังเป็นบูรพาจารย์ คือเป็นครูอาจารย์คนแรก ที่ฝึกสอนให้ลูกรู้จักวิธีการดำเนินชีวิตตั้งแต่พื้นฐาน มีการกินอยู่หลับนอน เดิน พูด รู้จักสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด คุณธรรม ทัศนตติ ความรู้ความเข้าใจต่อสิ่งแวดล้อม พูดสั้น ๆ ว่า ช่วยให้ลูกพัฒนาทั้งทางพฤติกรรม ทางจิตใจ และทางปัญญา อีกทั้งยังเป็นอาหุไนยบุคคล หรือที่คนไทยนิยมพูดว่า เป็นพระอรหันต์ของลูก คือ มีความจริงใจ สุจริตใจ บริสุทธิ์ใจต่อลูก รักลูกด้วยใจจริงสม่ำเสมอ ยั่งยืนตลอดไปไม่ถือสาหาความผิดพลาดของลูกต่อตัวท่าน พร้อมที่จะให้อภัย มีคุณธรรมความดีเป็นแบบอย่างให้ เป็นผู้ควรแก่ความเคารพนับถือและการบูชาพระคุณ บทบาทที่พระพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า “ เป็นผู้แสดงโลกแก่ลูก” หรือเป็นผู้นำเสนอโลกนี้แก่ลูกนั่นเอง
แหล่งอ้างอิง...http://www.satit.su.ac.th/_satit/sms_48_6.htm

สัปดาห์ที่ 7

ฟังเสียงบันทึกสองเรื่องคือ 1.หน้าที่ของพ่อแม่และลูกที่ดี
2. แก้ไฟริษยา พร้อมทั้งเขียน Mind Map

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 6 บทความคำพ่อสอน"สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต และความสำเร็จ"

...คนเราจะให้มีร่างกายที่แข็งแรงพร้อมด้วยการมีความคิดที่ดี และปรารถนาที่จะมีความสงบสุขหรือความสำเร็จได้นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจิตใจที่สัมพันธ์กัน ทำงานร่วมกัน พร้อมกัน สอดคล้องกัน ก็จะเกิดความสำเร็จความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต แม้แต่ในชีวิตประจำวันการที่จะทำสิ่งใดงานใดๆ ก็ต้องอาศัยร่างกายและจิตใจที่ต้องทำงานร่วมกัน แม้จะฝึกร่างกายและจิตใจจนเหนื่อย แต่ความเหนื่อยนั้นจะกลายมาเป็นกำลังที่ทำให้เราพบความสุขและความสำเร็จ
...ในชีวิตประจำวันหรือแม้แต่ชีวิตในรั้ว แต่ละวันต้องทำงานต้องเรียน พบเจอกับสิ่งต่างๆต้องใช้ความคิด สติปัญญา กำลังกายและกำลังใจ ในการศึกษาเล่าเรียนต้องใช้สมาธิและสติปัญญา ซึ่งต้องมาจากการฝึกฝน อาจจะเหนื่อยบ้างท้อบ้างในบางเวลา แต่ความเหนื่อยนั้นจะกลายมาเป็นกำลังที่ใช้ในการศึกษาเล่าเรียน ทำให้เราประสบกับความสำเร็จในการเรียนและเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่นักกีฬาก็ยังต้องมีการฝึกซ้อม ซ้อมจนเหนื่อยเพื่อให้เกิดความชำนาญและจะพบกับความสำเร็จ ชนะในการแข่งขันแต่ต้องรู้จักคำว่าแพ้ ชนะ ไม่เอาเปรียบกัน และให้อภัยกัน มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ความเหนื่อยจากการฝึกฝนจะค่อยๆหายไปกลายมาเป็นกำลัง กำลังเพื่อหาความสุข ความสำเร็จ ร่างกายและจิตใจจะแข็งแรงขึ้นพร้อมกัน นอกจากการเล่นกีฬายังเป็นการบริหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรงและยังเป็นการฝึกจิตใจให้ร่าเริงไปในตัวด้วย ในชีวิตประจำวันต้องทำงานพบเจอกับงานที่ยากบ้างง่ายบ้างปะปนกันไป พบกับผู้คนหลากหลายอารมณ์ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีร่างกายและจิตใจที่พร้อมเสมอ
...สำหรับเราเป็นนิสิตนักศึกษาเมื่อมีกำลังกายดีและจิตใจที่ดีย่อมทำให้สมองดีไปด้วย ทำให้การศึกษาเล่าเรียนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีดังที่ตั้งใจไว้หรืออาจจะเกินความคาดหวังด้วยซ้ำ นอกจากกีฬาจะเป็นการฝึกกายแล้วยังสามารถฝึกจิตใจหรือที่เรียกว่าจิตใจนักกีฬา คือจิตใจที่สามารถให้อภัย สามารถที่จะระงับสติอารมณ์ให้ไม่ฟุ้งซ่านอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 6

นำเสนอ Mind Maping และปรับแก้ Mind Maping
ของกลุ่มเป็นของตนเอง

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 5 Mind Maping คำพ่อสอน

เรียนการใช้โปรแกรม Mindjet MindManager โดยใช้โปรแกรมนี้
ทำ Mind Maping เรื่องคำพ่อสอน มีเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตและสุขภาพกาย
การฝึกร่างกายและจิตใจให้มีความสุขและความสำเร็จรวมถึงการใช้กีฬาเป็นอุปกรณ์การศึกษาที่สำคัญ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นประมวลพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 4 แนวทาง 9 คำพ่อสอนกับการเรียนศึกษาศาสตร์

"การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม
มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร
ต้องใช้ความอดทนเสียสละ แต่สำคัญที่สุด
คือความอดทน คืดไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม"